ค่าของคนอยู่ที่ผลงาน คุณของคนอยู่ที่การฝึกฝนนำตนให้พ้นจากทุกข์ เศษแก้วในทะเล
ขัดเกลานานเข้า ยังกลายเป็นแก้วทะเลมีค่าน่าสะสม เศษคนในทะเลชีวิต ขัดเกลามากเข้า
ย่อมกลายเป็นแก้วทรงคุณค่า ในมหาสมุทรแห่งพุทธธรรม

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อารยธรรมกรีก


          กรีกเป็นคำที่ชาวโรมันเรียกชาวกรีก หรือกรีซในปัจจุบัน แต่ชาวกรีกเองเรียกตนเองว่า “เฮลลีนส์” และเรียกความเจริญอารยธรรมที่ตนสร้างสรรค์ว่า “เฮเลนนิค” (Hellenic) ประเทศต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันออกคือ อินเดียและจีนส่วนต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกก็คือกรีกชาวตะวันตกทุกชาติไม่ว่าสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ออสเตรีย อังกฤษ อิตาลี เยอรมนี ฯลฯ ใช้อารยธรรมที่ล้วนแล้วแต่มีรากดั้งเดิมมาจากกรีกทั้งนั้น

          กรีกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณรอบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ติดต่อกับอารยธรรมยุคเก่าซึ่งมีอำนาจในการปกครองดินแดนแถบนี้ 2 แห่งของโลก คือ อียิปต์และตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย และที่สำคัญอีกอย่างคือ ดินแดนรอบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นแหล่งเชื่อม 3 ทวีป คือ อาฟริกา เอเซียและยุโรป และเป็นชุมทางการเคลื่อนตัวของมนุษย์สมัยโบราณในยุคหินเก่าและหินใหม่ เนื่องจากกรีกเป็นเมืองค้าขายจึงมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดความคิดอันหลากหลายจากพ่อค้าจากต่างถิ่นที่แวะเข้ามาทำการค้าขาย

          เมืองส่วนใหญ่ของกรีกเป็นเมืองค้าขายมีที่ราบเล็กๆ ในหุบเขาที่จะผลิตอาหารได้จำนวนจำกัด กรีกจึงมีแนวโน้มจัดตั้งองค์กรทางการเมืองที่ไม่รวมศูนย์ การเป็นเมืองค้าขายเปิดโอกาสให้ได้รับการถ่ายทอดความคิดจากพ่อค้าที่แวะเข้ามาจากการเดินทางออกไปยังอียิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย เป็นต้น ทำให้กรีกสามารถตั้งคำถาม วิเคราะห์ความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมได้มาก จากการที่กรีกปกครองเป็นนครรัฐ (Polis) จึงทำให้กรีกต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ ก่อนหน้านั้นหรือในยุคเดียวกัน คือ ไม่มีระบบความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดหรือสมบูรณ์ตายตัว จากจุดนี้จึงเป็นสาเหตุให้กรีกกลายเป็นนักวิเคราะห์ และนักเหตุผลนิยมได้ดีกว่าอารยธรรมอื่นที่ผ่านๆ มา และในที่สุดกรีกก็เป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกๆ ที่สร้างระบบคิดแบบเปิด คือ ระบบปรัชญาที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเน้นการถกเถียงระหว่างปัญญาชนที่หลายหลายขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ส่วนที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในกรีก อินเดีย และจีน

          ชาวกรีกให้การเทพเจ้าหลายองค์ เทพส่วนมากมีความเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติ เช่น Zeus ควบคุมท้องฟ้า พายุและฝน เทพ Poseidon ควบคุมทะเล เทพ Aphrodite เป็นเทพแห่งความรัก และเทพ เป็นต้น แต่การนับถือเทพของชาวกรีกมีความแตกต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ คือ แต่ละบุคคลสามารถบนบานต่อเทพได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านพระนักบวช และเทพในอารยธรรมกรีกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตลอดเวลา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทพ Zeus
เทพ Zeus

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทพ Poseidon ควบคุมทะเล
เทพ Poseidon 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทพ Aphrodite
 เทพ Aphrodite


          ส่วนในกรีกโบราณ ความคิดทางศาสนามีส่วนช่วยจรรโลงอารยธรรมกรีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ซึ่งปรากฏออกมาในรูปของการสร้างโบสถ์วิหารและปติมากรรมเพื่อถวายความเคารพและบูชา สรรเสริญเทพเจ้า วิหารของเทพเจ้ากรีกล้วนก่อสร้างด้วยหินอ่อน และมีแบบของหัวเสา วิหารที่มีชื่อเสียงได้แก่ วิหารพาเธนอน (Pathenon) ในนครเอเธนส์ ซึ่งเป็นวิหารของเทพเจ้าอธีนาผู้คุ้มครองนครเอเธนส์ วิหารเทพเจ้าเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างแสดงแสดงฝีมือและความเป็นอัจฉริยะของกรีกโบราณด้านสถาปัตยกรรม


          ความคิดเกี่ยวกับเทพเจ้าของกรีกโบราณสื่อออกมาในรูปลักษณะแบบมนุษย์และคุณลักษณะบางประการของมนุษย์ เช่น ยังมีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง มีการทะเลาะวิวาท อิจริษยา กันและกัน แต่มีความแตกต่างจากมนุษย์ตรงที่มีอาหารทิพย์ และมีความเป็นอมตะ แต่ละองค์ล้วนมีอานุภาพ และได้รับการกำหนดให้คุ้มครองธรรมชาติที่มีความสำคัญ เช่น ท้องทะเล ได้แก่ เทพเจ้าโพไวดอน (Poseidon) พื้นแผ่นดินได้แก่ เทพเจ้าซีรีส (Ceres) ความงาม ความรัก ได้แก่ เทพเจ้าอโพรไดท์ (Aphrodite) หรือที่ชาวโรมัน เรียกว่า วีนัส (Venus) ความฉลาด ได้แก่ เทพเจ้าอธีนา (Athena) แสงสว่างและการทำนาย ได้แก่ เทพเจ้าอพอลโล (Apollo) เป็นต้น

          ส่วนเรื่องของความตายนั้น กรีกโบราณมีความคิดที่แตกต่างไปจากอียิปต์ คือ ชาวกรีกจะไม่สนใจความเป็นไปภายหลังความตาย ไม่สนใจต่อร่างกายที่ และเมื่อคนตายลงก็จะใช้วิธีเผาศพ และมีความคิดว่า เงาหรือผีจะอยู่ชั่วระยะหนึ่งหลังจากที่ตายไปทุกคนจะไปยังอาณาจักรแห่งความตาย ซึ่งอยู่ภายใต้ความควบคุมของเทพเจ้าใต้บาดาล คือ เฮเดส (Hades) แต่อาณาจักรแห่งความตายนี้มิใช่นรก หรือสวรรค์ ไม่มีการรับรางวัลแห่งความดี หรือการถูกลงโทษจากการกระทำผิด แต่จะอยู่ในลักษณะเดียวกันเหมือนกับการมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์

          กิจกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวกรีกก็คือ การรื่นเริงถวายเทพเจ้าที่ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับศาสนปฏิบัติ ซึ่งแสดงออกโดยที่นครรัฐทุกแห่งจะมีงานรื่นเริงประจำนครรัฐของตนและมีการแข่งกีฬา การแข่งขันกีฬาถวายเทพเจ้าที่สำคัญที่สุด คือ ที่โอลิมเบีย (Olympia) ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มในแคว้นเอลิส (Elis) ได้เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ 776 ปีก่อนคริสตกาล ณที่นี้มีวิหารของเทพเจ้าสูงสุด คือเทพเจ้าซีอุส (Zeus) และการแข่งขันกีฬาที่โอลิมเปียนี้เรียกว่า กีฬาโอลิมปิก (Olympic Game)

          กิจกรรมต่างๆ ของชาวกรีกโบราณที่กล่าวมาแล้วนี้ นับเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความสอดคล้องผสมผสานระหว่างความคิดทางศาสนากับอารยธรรมของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนและมีความหมายที่ซ้อนเร้นอยู่ตามสถาปัตยกรรมต่างๆ

          ส่วนในสมัยโรมัน ปรากกว่าระยะแรกๆ ชาวโรมันมีชีวิตความเป็นอยู่แบบง่ายๆ มีการเลี้ยงสัตว์และทำการเพาะปลูก พวกเขานับถือผีวิญญาณ เชื่อว่ามีวิญญาณในทุกสิ่ง ไม่ว่าต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์ในทุงหญ้า ท้องนา วิญญาณเหล่านี้อาจช่วยเหลือ หรือเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติต่อวิญญาณเหล่านี้ จึงเป็นหน้าที่ของทางศาสนาที่จะหาวิธีปฏิบัติให้วิญญาณทั้งหลายนั้นมาเอื้อประโยชน์ต่อมนุษย์

          ความคิดเรื่องวิญญาณที่สำคัญของชาวโรมันในระยะแรกได้แก่ เวสตา (Vesta) ซึ่งดูแลเตาไฟ แลรีส (Lares) ดูแลบ้านและขอบเขตที่นาของครอบครัว พิเนตีส (Penates) ดูแลที่เก็บเสบียงอาหาร และยังมีวิญญาณประจำตัวมนุษย์ได้แก่ จีเนียส (Genius) ซึ่งบำบัดรักษาครอบครัวโดยผ่านหัวหน้าครอบครัว จึงถือว่า จีเนียสเป็นวิญญาณประจำตัวผู้ชาย วิญญาณเหล่านี้จะต้องได้รับการกราบไหว้อย่างเหมาะสม
ในยุคโบราณ ตะวันตกถือว่ากรีกเป็นบ่อเกิดของความคิดแบบต่างๆ และถือว่าเป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมทั้งทางด้านความคิด การเมือง สถาปัตยกรรม เป็นต้นมีความก้าวหน้าแห่งหนึ่งในยุคโบราณ แต่ในยุคนี้ความคิดที่เด็นชัดและมีอิทธิพลต่อวิธีการคิดและการดำเนินชีวิตของคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในตะวันตก ก็คือความคิดทางปรัชญา ซึ่งมีนักคิดที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น 3 ท่าน ก็คือ อริสโตเติล พลาโต้ และโสเครตีส แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วนักคิดที่ถือว่ามีแนวคิดทางปรัชญาท่านแรกของกรีกโบราณก็คือ ธาเลส ซึ่งเป็นผู้ให้มุมมองเกี่ยวกับโลก จักรวาล และมนุษย์ที่แตกต่างออกไปจากมุมมองแบบยุคก่อนประวัติศาสตร์ และถือว่าเป็นผู้จุดประกายให้มีนักคิดท่านอื่นๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย 
          กรีกเป็นคำที่ชาวโรมันเรียกชาวกรีก หรือกรีซในปัจจุบัน แต่ชาวกรีกเองเรียกตนเองว่า “เฮลลีนส์” และเรียกความเจริญอารยธรรมที่ตนสร้างสรรค์ว่า “เฮเลนนิค” (Hellenic) ประเทศต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันออกคือ อินเดียและจีนส่วนต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกก็คือกรีกชาวตะวันตกทุกชาติไม่ว่าสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ออสเตรีย อังกฤษ อิตาลี เยอรมนี ฯลฯ ใช้อารยธรรมที่ล้วนแล้วแต่มีรากดั้งเดิมมาจากกรีกทั้งนั้น

          กรีกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาบริเวณรอบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ติดต่อกับอารยธรรมยุคเก่าซึ่งมีอำนาจในการปกครองดินแดนแถบนี้ 2 แห่งของโลก คือ อียิปต์และตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย และที่สำคัญอีกอย่างคือ ดินแดนรอบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นแหล่งเชื่อม 3 ทวีป คือ อาฟริกา เอเซียและยุโรป และเป็นชุมทางการเคลื่อนตัวของมนุษย์สมัยโบราณในยุคหินเก่าและหินใหม่ เนื่องจากกรีกเป็นเมืองค้าขายจึงมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดความคิดอันหลากหลายจากพ่อค้าจากต่างถิ่นที่แวะเข้ามาทำการค้าขาย

          เมืองส่วนใหญ่ของกรีกเป็นเมืองค้าขายมีที่ราบเล็กๆ ในหุบเขาที่จะผลิตอาหารได้จำนวนจำกัด กรีกจึงมีแนวโน้มจัดตั้งองค์กรทางการเมืองที่ไม่รวมศูนย์ การเป็นเมืองค้าขายเปิดโอกาสให้ได้รับการถ่ายทอดความคิดจากพ่อค้าที่แวะเข้ามาจากการเดินทางออกไปยังอียิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย เป็นต้น ทำให้กรีกสามารถตั้งคำถาม วิเคราะห์ความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมได้มาก จากการที่กรีกปกครองเป็นนครรัฐ (Polis) จึงทำให้กรีกต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ ก่อนหน้านั้นหรือในยุคเดียวกัน คือ ไม่มีระบบความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดหรือสมบูรณ์ตายตัว จากจุดนี้จึงเป็นสาเหตุให้กรีกกลายเป็นนักวิเคราะห์ และนักเหตุผลนิยมได้ดีกว่าอารยธรรมอื่นที่ผ่านๆ มา และในที่สุดกรีกก็เป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกๆ ที่สร้างระบบคิดแบบเปิด คือ ระบบปรัชญาที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเน้นการถกเถียงระหว่างปัญญาชนที่หลายหลายขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ส่วนที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในกรีก อินเดีย และจีน

          ชาวกรีกให้การเทพเจ้าหลายองค์ เทพส่วนมากมีความเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติ เช่น Zeus ควบคุมท้องฟ้า พายุและฝน เทพ Poseidon ควบคุมทะเล เทพ Aphrodite เป็นเทพแห่งความรัก และเทพ เป็นต้น แต่การนับถือเทพของชาวกรีกมีความแตกต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ คือ แต่ละบุคคลสามารถบนบานต่อเทพได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านพระนักบวช และเทพในอารยธรรมกรีกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตลอดเวลา

          ส่วนในกรีกโบราณ ความคิดทางศาสนามีส่วนช่วยจรรโลงอารยธรรมกรีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ซึ่งปรากฏออกมาในรูปของการสร้างโบสถ์วิหารและปติมากรรมเพื่อถวายความเคารพและบูชา สรรเสริญเทพเจ้า วิหารของเทพเจ้ากรีกล้วนก่อสร้างด้วยหินอ่อน และมีแบบของหัวเสา วิหารที่มีชื่อเสียงได้แก่ วิหารพาเธนอน (Pathenon) ในนครเอเธนส์ ซึ่งเป็นวิหารของเทพเจ้าอธีนาผู้คุ้มครองนครเอเธนส์ วิหารเทพเจ้าเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างแสดงแสดงฝีมือและความเป็นอัจฉริยะของกรีกโบราณด้านสถาปัตยกรรม


          ความคิดเกี่ยวกับเทพเจ้าของกรีกโบราณสื่อออกมาในรูปลักษณะแบบมนุษย์และคุณลักษณะบางประการของมนุษย์ เช่น ยังมีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง มีการทะเลาะวิวาท อิจริษยา กันและกัน แต่มีความแตกต่างจากมนุษย์ตรงที่มีอาหารทิพย์ และมีความเป็นอมตะ แต่ละองค์ล้วนมีอานุภาพ และได้รับการกำหนดให้คุ้มครองธรรมชาติที่มีความสำคัญ เช่น ท้องทะเล ได้แก่ เทพเจ้าโพไวดอน (Poseidon) พื้นแผ่นดินได้แก่ เทพเจ้าซีรีส (Ceres) ความงาม ความรัก ได้แก่ เทพเจ้าอโพรไดท์ (Aphrodite) หรือที่ชาวโรมัน เรียกว่า วีนัส (Venus) ความฉลาด ได้แก่ เทพเจ้าอธีนา (Athena) แสงสว่างและการทำนาย ได้แก่ เทพเจ้าอพอลโล (Apollo) เป็นต้น

          ส่วนเรื่องของความตายนั้น กรีกโบราณมีความคิดที่แตกต่างไปจากอียิปต์ คือ ชาวกรีกจะไม่สนใจความเป็นไปภายหลังความตาย ไม่สนใจต่อร่างกายที่ และเมื่อคนตายลงก็จะใช้วิธีเผาศพ และมีความคิดว่า เงาหรือผีจะอยู่ชั่วระยะหนึ่งหลังจากที่ตายไปทุกคนจะไปยังอาณาจักรแห่งความตาย ซึ่งอยู่ภายใต้ความควบคุมของเทพเจ้าใต้บาดาล คือ เฮเดส (Hades) แต่อาณาจักรแห่งความตายนี้มิใช่นรก หรือสวรรค์ ไม่มีการรับรางวัลแห่งความดี หรือการถูกลงโทษจากการกระทำผิด แต่จะอยู่ในลักษณะเดียวกันเหมือนกับการมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์

          กิจกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวกรีกก็คือ การรื่นเริงถวายเทพเจ้าที่ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับศาสนปฏิบัติ ซึ่งแสดงออกโดยที่นครรัฐทุกแห่งจะมีงานรื่นเริงประจำนครรัฐของตนและมีการแข่งกีฬา การแข่งขันกีฬาถวายเทพเจ้าที่สำคัญที่สุด คือ ที่โอลิมเบีย (Olympia) ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มในแคว้นเอลิส (Elis) ได้เริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ 776 ปีก่อนคริสตกาล ณที่นี้มีวิหารของเทพเจ้าสูงสุด คือเทพเจ้าซีอุส (Zeus) และการแข่งขันกีฬาที่โอลิมเปียนี้เรียกว่า กีฬาโอลิมปิก (Olympic Game)

          กิจกรรมต่างๆ ของชาวกรีกโบราณที่กล่าวมาแล้วนี้ นับเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความสอดคล้องผสมผสานระหว่างความคิดทางศาสนากับอารยธรรมของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนและมีความหมายที่ซ้อนเร้นอยู่ตามสถาปัตยกรรมต่างๆ

          ส่วนในสมัยโรมัน ปรากกว่าระยะแรกๆ ชาวโรมันมีชีวิตความเป็นอยู่แบบง่ายๆ มีการเลี้ยงสัตว์และทำการเพาะปลูก พวกเขานับถือผีวิญญาณ เชื่อว่ามีวิญญาณในทุกสิ่ง ไม่ว่าต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์ในทุงหญ้า ท้องนา วิญญาณเหล่านี้อาจช่วยเหลือ หรือเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติต่อวิญญาณเหล่านี้ จึงเป็นหน้าที่ของทางศาสนาที่จะหาวิธีปฏิบัติให้วิญญาณทั้งหลายนั้นมาเอื้อประโยชน์ต่อมนุษย์

          ความคิดเรื่องวิญญาณที่สำคัญของชาวโรมันในระยะแรกได้แก่ เวสตา (Vesta) ซึ่งดูแลเตาไฟ แลรีส (Lares) ดูแลบ้านและขอบเขตที่นาของครอบครัว พิเนตีส (Penates) ดูแลที่เก็บเสบียงอาหาร และยังมีวิญญาณประจำตัวมนุษย์ได้แก่ จีเนียส (Genius) ซึ่งบำบัดรักษาครอบครัวโดยผ่านหัวหน้าครอบครัว จึงถือว่า จีเนียสเป็นวิญญาณประจำตัวผู้ชาย วิญญาณเหล่านี้จะต้องได้รับการกราบไหว้อย่างเหมาะสม

          ในยุคโบราณ ตะวันตกถือว่ากรีกเป็นบ่อเกิดของความคิดแบบต่างๆ และถือว่าเป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมทั้งทางด้านความคิด การเมือง สถาปัตยกรรม เป็นต้นมีความก้าวหน้าแห่งหนึ่งในยุคโบราณ แต่ในยุคนี้ความคิดที่เด็นชัดและมีอิทธิพลต่อวิธีการคิดและการดำเนินชีวิตของคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในตะวันตก ก็คือความคิดทางปรัชญา ซึ่งมีนักคิดที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น 3 ท่าน ก็คือ อริสโตเติล พลาโต้ และโสเครตีส แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วนักคิดที่ถือว่ามีแนวคิดทางปรัชญาท่านแรกของกรีกโบราณก็คือ ธาเลส ซึ่งเป็นผู้ให้มุมมองเกี่ยวกับโลก จักรวาล และมนุษย์ที่แตกต่างออกไปจากมุมมองแบบยุคก่อนประวัติศาสตร์ และถือว่าเป็นผู้จุดประกายให้มีนักคิดท่านอื่นๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น